บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 4
วันจันทร์ ที่ 29 สิงหาคม 2559
วันนี้เริ่มต้นการเรียนการสอนด้วยการเล่นเกมการสื่อสารโดยทุกคนมีส่วนร่วมในกิจกรรม เพราะอาจารย์ได้เตรียมมาหลายเกม แล้วจึงเข้าเนื้อหาการเรียนการสอน

การสื่อสาร (Communication) คือ กระบวน การส่งข่าวสาร ข้อมูล จาก ผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการ
การติดต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ความคิด ทัศนคติ ทักษะ และประสบการณ์ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารให้มีความเข้าใจ ที่ตรงกันเพื่อนำไปสู่การดำรงชีวิตที่มีความสุข
ความสำคัญของการสื่อสาร
- ทำให้ได้รับรู้และเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม
- ทำให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันทั้ง 2 ฝ่าย
- ทำให้สร้างมิตรภาพที่อบอุ่น
- ทำให้เกิดภาพแห่งความพึงพอใจ
- ช่วยในการพัฒนาอัตมโนทัศน์ สร้างความรู้สึกที่ดีต่อตนเองก่อให้เกิดความพอใจในชีวิต
รูปแบบของการสื่อสาร
- รูปแบบการสื่อสารของอริสโตเติล (Aristotle’s Model of Communication)
- รูปแบบการสื่อสารของลาล์สเวล (Lasswell’s Model of Communication)
- รูปแบบการสื่อสารของแชนนอนและวีเวอร์ (Shannon & Weaver’s Model of Communication)
- รูปแบบการสื่อสารของออสกูดและชแรมม์ (C.E Osgood and Willbur Schramm’s )
- รูปแบบการสื่อสารของเบอร์โล (Berlo’s Model of Communication)

องค์ประกอบของการสื่อสาร
1.
ผู้ส่งข่าวสาร (Sender)
2. ข้อมูลข่าวสาร (Message)
3. สื่อในช่องทางการสื่อสาร (Media)
4. ผู้รับข่าวสาร (Receivers)
5. ความเข้าใจและการตอบสนอง
ผู้ส่งสารและผู้รับสาร
- ผู้จัดกับผู้ชม
- ผู้พูดกับผู้ฟัง
- ผู้ถามกับผู้ตอบ
- คนแสดงกับคนดู
- นักเขียนกับนักอ่าน
- ผู้อ่านข่าวกับคนฟังข่าว
- คนเล่านิทานกับคนฟังนิทาน

สื่อ

สาร
คือ เรื่องราวที่รับรู้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น ข้อเท็จจริง ข้อแนะนำ การล้อเลียน ความปรารถนาดี ความห่วงใย มนุษย์จะแสดงออกมาให้เป็นที่รับรู้ได้
การสื่อสารจะเกิดขึ้นตามกาลเทศะ และสภาพแวดล้อมต่างๆในสังคม
วัตถุประสงค์ของการสื่อสาร
1.
เพื่อแจ้งให้ทราบ หมายถึง การสื่อสารที่ผู้ส่งสารจะแจ้ง หรือบอกกล่าวข่าวสาร
ข้อมูล เหตุการณ์ ความคิด ความต้องการของตนให้ผู้รับได้ทราบ
2.
เพื่อสอนหรือให้การศึกษา หมายถึง
การสื่อสารที่มุ่งจะให้ผู้รับมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางด้านองค์ความรู้ ความคิด
สติปัญญา
ฉะนั้นจึงมุ่งเน้นไปที่การเรียนการสอนหรือการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการโดยเฉพาะ
3.
เพื่อสร้างความพอใจหรือให้ความบันเทิง หมายถึง การสื่อสารที่มุ่งให้เกิดผลทางจิตใจหรืออารมณ์
ความรู้สึกแก่ผู้รับสาร
ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ส่งสารมีข้อมูลที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้รับสาร
และมีกลวิธีในการนำเสนอเป็นที่พอใจ
4.
เพื่อเสนอหรือชักจูงใจ มุ่งเน้นให้ผู้รับสารมีพฤติกรรมคล้อยตาม
หรือยอมรับปฏิบัติตาม

1.
เพื่อแจ้งให้ทราบ คือ การรับและส่งข่าวสารด้านต่างๆ การนำเสนอเรื่องราว
ความรู้สึกนึกคิด ความรู้ หรือสิ่งอื่นใด
ที่ต้องการให้ผู้รับสารรู้และเข้าใจข้อมูลนั้นๆ
โดยมุ่งให้ความรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
2.
เพื่อความบันเทิงใจ คือ การรับส่งความรู้สึกที่ดี และมุ่งรักษามิตรภาพต่อกัน
เป็นการนำเสนอเรื่องราวหรือสิ่งอื่นใดที่จะทำให้ผู้รับสารเกิดความพึงพอใจ
3.
เพื่อชักจูงใจ คือ การนำเสนอเรื่องราวหรือสิ่งอื่นใดเพื่อจูงใจให้เกิดความร่วมมือ
สร้างกำลังใจ เพื่อให้ผู้รับสารเกิดความคิดคล้อยตาม หรือปฏิบัติตาม ที่ผู้ส่งสารต้องการ และนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไข
ประเภทของการสื่อสาร

1. จำแนกตามกระบวนการหรือการไหลของข่าวสาร
2. จำแนกตามภาษาสัญลักษณ์ที่แสดงออก
3. จำแนกตามจำนวนผู้สื่อสาร
1. จำแนกตามกระบวนการหรือการไหลของข่าวสาร
แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1.1
การสื่อสารทางเดียว (One-Way Communication) คือการสื่อสารที่ข่าวสารจะถูกส่งจากผู้ส่งไปยังผู้รับในทิศทางเดียว
โดยไม่มีการตอบโต้กลับจากฝ่ายผู้รับ เช่น การสื่อสารผ่านสื่อ วิทยุ โทรทัศน์
หนังสือพิมพ์ การออกคำสั่งหรือมอบหมายงานโดย ฝ่ายผู้รับไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็น
ซึ่งผู้รับอาจไม่เข้าใจข่าวสาร
หรือเข้าใจไม่ถูกต้องตามเจตนาของผู้ส่งและทางฝ่ายผู้ส่งเมื่อไม่ทราบปฏิกิริยาของผู้รับจึงไม่อาจปรับการสื่อสารให้เหมาะสมได้
การสื่อสารแบบนี้สามารถทำได้รวดเร็วจึงเหมาะสำหรับการสื่อสารในเรื่องที่เข้าใจง่าย

2.
จำแนกตามภาษาสัญลักษณ์ที่แสดงออก

2.2 การสื่อสารเชิงอวัจนะ (Non-Verbal Communication) หมายถึงการสื่อสารโดยใช้รหัสสัญญาณอย่างอื่น เช่น ภาษาท่าทาง การแสดงออกทางใบหน้า สายตา ตลอดจนถึงน้ำเสียง ระดับเสียง ความเร็วในการพูด เป็นต้น
3. จำแนกตามจำนวนผู้สื่อสาร
กิจกรรม ต่างๆ
ของบุคคลและสังคม ถือว่าเป็นผลมาจากการสื่อสารทั้งสิ้น
ดังนั้นการสื่อสารจึงมีขอบข่ายครอบคลุมลักษณะการสื่อสารของมนุษย์ 3 ลักษณะคือ
3.1 การสื่อสารส่วนบุคคล (Intrapersonal Communication)
3.2 การสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication)
3.3 การสื่อสารมวลชน (Mass Communication)
3.1 การสื่อสารส่วนบุคคล (Intrapersonal Communication)
3.2 การสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication)
3.3 การสื่อสารมวลชน (Mass Communication)
- การสื่อสารที่บุคคลเดียวเป็นทั้งผู้ส่งสารและรับสาร
- การคิดหาเหตุผลโต้แย้งกับตนเองในใจ
- เนื้อหาไม่มีขอบเขตุจำกัด
- บางครั้งมีเสียงพึมพำดังออกมาบ้าง
- บางครั้งเกิดความขัดแย้งในใจและไม่อาจตัดสินใจได้
- อาจเป็นการปลอบใจตนเอง การเตือนตนเอง การวางแผน หรือแก้ปัญหาใดๆ
- บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ไม่ถึงกับเป็นกลุ่ม
- เป็นเรื่องเฉพาะระหว่างบุคคล อาจไม่เกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
- อาจเป็นความลับระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารเท่านั้น
- สารที่สื่ออาจเปิดเผยหากมีประโยชน์ต่อบุคคลอื่น
- มีเป้าหมายจะส่งสารสู่สาธารณชน
- มีเนื้อหาที่อาจให้ความรู้และเป็นประโยชน์ ให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
- เป็นความคิดที่มีคุณค่าและเปิดเผยได้โดยไม่จำกัดเวลา
- เช่น การบรรยาย การปาฐกถา การอมรม การสอนในชั้นเรียน
- ลักษณะสำคัญคล้ายการสื่อสารสาธารณะ
- ต้องอาศัยสื่อที่มีอำนาจการกระจายสูง รวดเร็ว กว้างขวาง เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ดาวเทียมและสื่อมวลชน
- ต้องคัดเลือกเฉพาะข้อเท็จจริงหรือข้อคิดเห็นที่เห็นว่าควรนำเสนอ
- อาจสนองความต้องการและความจำเป็นของมวลชนมากหรือน้อยได้
- เป็นการสื่อสารขั้นพื้นฐานของมนุษย์
- ประสิทธิภาพของการสื่อสารขึ้นอยู่กับความตั้งใจดีของสมาชิกในครอบครัว
- คุณธรรมที่ดีงามในครอบครัวจะช่วยพัฒนาการสื่อสารไปในทางดีงามเสมอ
- ต้องยอมรับและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
- คนต่างรุ่นต่างวัยในครอบครัวต้องพยายามทำความเข้าใจให้ตรงกัน
- ควรคำนึงถึงมารยาทที่ดีงามอยู่เสมอ
- ส่วนใหญ่เป็นการสื่อสารกับบุคคลที่คุ้นเคย
- เนื้อหามักเกี่ยวกับวิชาการ พื้นฐานอาชีพและหลักการดำเนินชีวิต
- มีทั้งการสื่อสารระหว่างบุคคล การสื่อสารในกลุ่มและการสื่อสารสาธารณะ
- อาจใช้เวลานานเพราะเรื่องราวมีปริมาณมาก
- อาจมีโอกาสโต้แย้งถกเถียง ควรยอมรับข้อเท็จจริงและไม่ใช้อารมณ์
- ข้อเท็จจริงและข้อสรุปบางเรื่องไม่ควรนำไปเผยแพร่
- ควรระมัดระวังคำพูดและกิริยามารยาท
- คุณธรรมด้านความซื่อสัตย์และการยอมรับอาวุโสเป็นเรื่องสำคัญ

การสื่อสารในวงสังคมทั่วไป
- เริ่มด้วยการทักทายตามสภาพของสังคมนั้นๆ
- การแสดงความยินดีหรือเสียใจ ไม่ควรมากหรือน้อยจนเกินไป
- การติดต่อกับคนที่ไม่รู้จักมาก่อนควรพูดให้ตรงประเด็นและสุภาพพอควร
- การคบหากับชาวต่างประเทศ ควรศึกษาประเพณีและมารยาทที่สำคัญๆของกันและกัน
ออเออร์บาค (Auerbach,1968) ได้กล่าวถึงธรรมชาติของผู้ปกครองไว้ดังนี้
- ผู้ปกครองสามารถเรียนรู้ได้
- ผู้ปกครองมีความต้องการที่จะเรียนรู้
- ผู้ปกครองเรียนรู้ได้ดีที่สุดในสิ่งที่เขาสนใจ
- การเรียนรู้จะมีความหมายที่สุดก็ต่อเมื่อเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวของผู้ปกครอง
- การมีอิสระในการเรียนรู้จะทำให้ผู้ปกครองเรียนรู้ได้ดีที่สุด
- ผู้ปกครองสามารถเรียนรู้ได้จากกันและกัน
- การให้ความรู้กับผู้ปกครองถือเป็นการให้ประสบการณ์ใหม่แก่ผู้ปกครอง
- เรียนรู้ได้ดีในเรื่องของการพัฒนาเด็ก
- เรียนรู้ได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีความสมานฉันท์
- มีความแปลกใหม่และมีประโยชน์ต่อเด็ก
- เรียนรู้ได้ดีจากการฝึกปฏิบัติ
- เรียนรู้ได้ดีในบรรยากาศที่เป็นวิชาการน้อยที่สุด
- ควรได้รับความต่อเนื่องในการเรียนรู้ทีละขั้นตอน
- เรียนรู้ได้ดีจากสื่อและอุปกรณ์ที่หลากหลาย
ปัจจัยที่มีผลต่อการแสดงออกทางพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้ปกครอง
1. ความพร้อม คือ สภาพความสมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจที่จะเรียนรู้
โดยเตรียมความพร้อมในเรื่องดังนี้ พื้นฐานประสบการณ์เดิม
สร้างความสนใจเห็นเห็นถึงความสำคัญของความรู้ ส่งเสริมความเชื่อมั่นในการเรียนรู้
2. ความต้องการ คือ
ความต้องการให้ชีวิตดำเนินไปอย่างมีความสุข เช่น ต้องการให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรง
มีการศึกษาที่ดี
3. อารมณ์และการปรับตัว
คือ แนวโน้มที่จะปฏิบัติต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มี 2 ประเภทคือ อารมณ์ทางบวก เช่น
ดีใจ พอใจ ฯลฯ อารมณ์ทางลบ เช่น โกรธ เสียใจ หงุดหงิด ซึ่งอารมณ์ทั้ง 2 นี้มีผลต่อการเรียนรู้
ดังนั้นควรปรับอารมณ์ให้เกิดความสมดุลพร้อมที่จะเรียนรู้
4. การจูงใจ
หมายถึง การกระตุ้นเพื่อให้เกิดการเรียนรู้
เช่น ต้องการรู้เพื่อแก้ปัญหาลูกหลาน ต้องการรู้เพื่อพัฒนาลูก ต้องการรู้เพื่อให้ลูกเป็นคนดี
5. การเสริมแรง คือ
การสร้างความพึงพอใจหลังการเรียนรู้ให้แก่ผู้ปกครอง เช่น คำชมเชย รางวัล ฯลฯ
6. ทัศนคติและความสนใจ
คือ การที่บุคคลมีการตอบสนองและแสดงความรู้สึกต่อสิ่งเร้าต่างๆ เช่น
-
จัดสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ทำให้ผู้ปกครองพอใจและสนุกกับการเรียนรู้
- ช่วงเวลาในการจัดให้ความรู้
ควรมีเวลาที่สะดวกในการเข้าร่วมกิจกรรม
- ผู้ส่งข่าวสารขาดทักษะในการสื่อสารที่ดี เช่นใช้ภาษาที่อยากแก่การเข้าใจ หรือไม่เหมาะแก่ผู้รับ
- ข้อมูลข่าวสารมากเกินไป
- ได้ข่าวสารไม่ครบสมบูรณ์ ทำให้สื่อความหมายผิดๆ
- ข้อมูลที่ส่งไปผ่านหลายขั้นตอน
- เลือกใช้เครื่องมือในการส่งข่าวสารไม่เหมาะสม
- รีบเร่งด่วนสรุปข่าวสารเร็วเกินไป ขาดการไตร่ตรอง
- ผู้รับข่าวสารไม่ทบทวน หรือสอบถามให้เข้าใจเมื่อสงสัย
- อารมณ์ของผู้รับ หรือผู้ส่งอยู่ในสภาพไม่ปกติ
- ผู้ส่งหรือผู้รับมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น
- Credibility ความน่าเชื่อถือ : สามารถทำให้ผู้รับสารเกิดความเชื่อถือในสารนั้น ๆ
- Content เนื้อหาสาระ : มีสาระให้เกิดความพึงพอใจ เร่งเร้าและชี้แนะให้เกิดการตัดสินใจได้ในลักษณะอย่างไรบ้าง
- Clearly ความชัดเจน : การเลือกใช้คำหรือข้อความที่เข้าใจง่าย ๆ ข้อความไม่คลุมเครือ
- Context ความเหมาะสมกับโอกาส : การเลือกใช้ภาษาและใช้สิ่งที่ส่งสารเหมาะสม
- Channel ช่องทางการส่งสาร : การเลือกวิธีการส่งข่าวสารได้เหมาะสมและรวดเร็วที่สุด
- Continuity consistency ความต่อเนื่องและแน่นอน : การสื่อสารกระทำอย่างต่อเนื่องมีความแน่นอนถูกต้อง
- Clarity of audience ความสามารถของผู้รับสาร : การเลือกใช้วิธีการส่งสารซึ่งมั่นใจว่าผู้รับสารจะสามารถรับสารได้ง่ายและสะดวกโดยคำนึงถึงความรู้ เจตคติ อุปนิสัย ทักษะการใช้ภาษา สังคมวัฒนธรรมของผู้รับสารเป็นสำคัญ
คุณธรรม คือ
- ความดีงามที่มีอยู่ในตัวบุคคล
- ต้องประกอบด้วยเหตุผลที่ดีของแต่ละบุคคล
- เกิดจากการปลูกฝังตั้งแต่เด็ก
- เกิดจากการได้เห็น ได้ยิน ได้อ่าน
- เกิดจากการได้เห็นพฤติกรรมของคนที่เคารพรักเป็นแบบอย่าง
- ความมีสัจจะและไม่ล่วงละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน
- ความรัก ความเคารพและความปรารถนาดีต่อกัน
- ความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูดหรือกระทำ
- เป็นพฤติกรรมด้านนอกของการสื่อสาร หมายถึงพฤติกรรมที่ปรากฏให้เห็นชัดเจน เช่นกิริยาอาการ การเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำ การเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรรวมทั้ง รูปภาพ แผนภูมิและการใช้วัตถุต่างๆ
- เป็นกิริยาวาจาที่เรียบร้อยถูกต้องตามคตินิยมของสังคม
- ศึกษาและพยายามทำตนให้เข้าใจกับผู้ปกครอง
- พยายามเรียนรู้ความต้องการของเขา และหาแนวทางตอบสนองตามความเหมาะสม
- พูดคุย พบปะกับผู้ปกครองในโอกาสต่างๆ
- หาโอกาสไปร่วมงานพิธีทางศาสนา เข้าร่วมกิจกรรมกับผู้ปกครอง
- ทำตนให้กลมกลืนกับผู้ปกครอง
- มีท่าทีเป็นมิตรอยู่เสมอ
- เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองร่วมกิจกรรม
สรุป
การสื่อสารที่ดีและมีประสิทธิภาพนับเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้งานการให้ความรู้ผู้ปกครองประสบผลสำเร็จ
ผู้ที่เป็นครูจะต้องทำความเข้าใจเรื่องการสื่อสารให้กระจ่างชัดเจน
ประกอบกับการศึกษาธรรมชาติและการเรียนรู้ของผู้ปกครอง พฤติกรรมการเรียนรู้
เพื่อที่จะได้ทำการให้ความรู้ให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองได้ดีมีประสิทธิภาพสูงสุด
เพื่อให้ผู้ปกครองเกิดความศรัทธา
เชื่อมั่นและมีความอบอุ่นว่าสถานศึกษาจะมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นก็ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครอง
บ้านโรงเรียน ชุมชนและสังคมเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเด็กร่วมกัน
ความรู้ที่ได้รับและการนำไปประยุกต์ใช้
ได้รับความรู้เรื่องการสื่อสารกับผู้ปกครองเด็กปฐมวัย ความหมายของการสื่อ สาร และอื่นๆอีกมากมาย รวมไปถึงทักษะการสื่อสารกับผู้ปกครองในรูปแบบต่างๆ ทำให้เราเข้าไปบริบทและสถานการณ์ต่างๆ ว่าควรปฏิบัติเช่นไร และยังสามารถนำไปใช้ไปในการเจรจาสื่อสารกับผู้ปกครองของเด็กปฐมวัยอย่างถูกต้องและเหมาะสม
การประเมิน
ประเมินตนเอง
เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อยถูกต้องตามระเบียบ ตั้งใจเรียน ตอบคำถามเมื่ออาจารย์ถาม ไม่คุยกับเพื่อนเสียงดังในเวลาเรียน
ประเมินเพื่อน
เพื่อนๆตั้งใจแต่งกายถูกต้องตามระเบียบ เข้าเรียนตรงเวลา ไม่พูดคุยกันระหว่างเรียน มีการจดบันทึกระหว่างเรียนด้วย
ประเมินอาจารย์
อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา มีการเล่นเกมก่อนการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับเนื้อหา ทำให้นักศึกษาผ่อนคลาย และมีสมาธิในการเรียน
อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา มีการเล่นเกมก่อนการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับเนื้อหา ทำให้นักศึกษาผ่อนคลาย และมีสมาธิในการเรียน
คำถามท้ายบท
1. จงอธิบายความหมายและความสำคัญของการสื่อสารมาโดยสังเขป
ตอบ การสื่อสาร หมายถึง กระบวนการส่งข่าว หรือข้อมูลจากผู้ส่งไปยังผู้รับเพื่อให้เข้าใจตรงกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้รับสารมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมาอย่างเข้าใจ
ความสำคัญ คือ ทำให้เข้าใจกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารรวมไปถึงการทำให้ได้รับข่าวสารเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ และทำให้เกิดมิตรภาพที่อบอุ่นอีกด้วย
2. การสื่อสารมีความสำคัญกับผู้ปกครองอย่างไร
ตอบ ทำให้ผู้ปกครองเข้าใจที่ครูให้ความรู้ และเข้าใจวิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย เพราะมีการสื่อสารกันระหว่างครูกับผู้ปกครอง
3. รูปแบบการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการให้ความรู้ผู้ปกครอง ควรเป็นรูปแบบใด จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
ตอบ การสื่อสารนั้นต้องเป็นสารมีความเหมาะสมและตรงกับต้องการของผู้ปกครอง เพราะหากเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองสนใจ จะทำให้การสื่อสารมีอุปสรรคน้อยลงและผู้ปกครองให้ความร่วมมือมากขึ้น เช่น ผู้ปกครองของเด็กอายุ 4 ปี ก็ควรมีการสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องที่สอดคล้องกับผู้ปกครองและเด็กจึงจะเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในการสื่อสาร
4. ธรรมชาติและการเรียนรู้ของผู้ปกครองควรมีลักษณะอย่างไร
ตอบ • เรียนรู้ได้ดีในเรื่องของการพัฒนาเด็ก
5. ปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนพฤติกรรมการเรียนรู้สำหรับผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองมีความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาของเด็ก ประกอบด้วยปัจจัยด้านใดบ้าง
ตอบ 1. ความพร้อม
2. ความต้องการ
3. อารมณ์และการปรับตัว
4. การจูงใจ
5. การเสริมแรง
6. ความถนัด
ตอบ การสื่อสาร หมายถึง กระบวนการส่งข่าว หรือข้อมูลจากผู้ส่งไปยังผู้รับเพื่อให้เข้าใจตรงกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้รับสารมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมาอย่างเข้าใจ
ความสำคัญ คือ ทำให้เข้าใจกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารรวมไปถึงการทำให้ได้รับข่าวสารเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ และทำให้เกิดมิตรภาพที่อบอุ่นอีกด้วย
2. การสื่อสารมีความสำคัญกับผู้ปกครองอย่างไร
ตอบ ทำให้ผู้ปกครองเข้าใจที่ครูให้ความรู้ และเข้าใจวิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย เพราะมีการสื่อสารกันระหว่างครูกับผู้ปกครอง
3. รูปแบบการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการให้ความรู้ผู้ปกครอง ควรเป็นรูปแบบใด จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
ตอบ การสื่อสารนั้นต้องเป็นสารมีความเหมาะสมและตรงกับต้องการของผู้ปกครอง เพราะหากเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองสนใจ จะทำให้การสื่อสารมีอุปสรรคน้อยลงและผู้ปกครองให้ความร่วมมือมากขึ้น เช่น ผู้ปกครองของเด็กอายุ 4 ปี ก็ควรมีการสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องที่สอดคล้องกับผู้ปกครองและเด็กจึงจะเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในการสื่อสาร
4. ธรรมชาติและการเรียนรู้ของผู้ปกครองควรมีลักษณะอย่างไร
ตอบ • เรียนรู้ได้ดีในเรื่องของการพัฒนาเด็ก
• เรียนรู้ได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีความสมานฉันท์
• มีความแปลกใหม่และมีประโยชน์ต่อเด็ก
• เรียนรู้ได้ดีจากการฝึกปฏิบัติ
• เรียนรู้ได้ดีในบรรยากาศที่เป็นวิชาการน้อยที่สุด
• ควรได้รับความต่อเนื่องในการเรียนรู้ทีละขั้นตอน
• เรียนรู้ได้ดีจากสื่อและอุปกรณ์ที่หลากหลาย
5. ปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนพฤติกรรมการเรียนรู้สำหรับผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองมีความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาของเด็ก ประกอบด้วยปัจจัยด้านใดบ้าง
ตอบ 1. ความพร้อม
2. ความต้องการ
3. อารมณ์และการปรับตัว
4. การจูงใจ
5. การเสริมแรง
6. ความถนัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น